ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง : ความเข้าใจที่เพียงพอ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง : ความเข้าใจที่เพียงพอ
ความนำ
ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ ก็จะได้เห็นได้ยิน ได้เจอคำว่า
"
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง "
อย่างคุ้นชินเสมือนว่า คำๆ นี้ คือ ญาติสนิทมิตรสหายที่เข้ามาทักทายในชีวิตประจำวันอย่างไม่ขาดสาย
แม้ว่าจะคุ้นเคยกันอย่างนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมายของ" ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
กันอย่างแท้จริง หลายคนอาจจะทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงได้พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิงพอเพียงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยเมื่อครั้งที่ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. 2540 แต่การจะเข้าใจให้ลึกซึ้ง เข้าถึงอย่างถูกต้องนั้น แค่ได้ยินได้อ่าน
คงยังไม่เพียงพอจนกว่าจะได้คิดตามไปด้วย
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในระดับหนึ่ง
(จากนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ผู้อ่านไปคิดต่อ)
ผู้เขียนควรจะต้องกล่าวถึงที่มาของแนวคิดนี้ ความหมายคำนิยาม
ตลอดจนการนำแนวคิดนี้ไปสู่การปฏิบัติ
ความเป็นมา
"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการ
ดำเนินชีวิตแกพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี
ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ
และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น
และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ความหมาย*
ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ ก็จะได้เห็นได้ยิน ได้เจอคำว่า
"
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง "
อย่างคุ้นชินเสมือนว่า คำๆ นี้ คือ ญาติสนิทมิตรสหายที่เข้ามาทักทายในชีวิตประจำวันอย่างไม่ขาดสาย
แม้ว่าจะคุ้นเคยกันอย่างนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความหมายของ" ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
กันอย่างแท้จริง หลายคนอาจจะทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงได้พระราชทานปรัชญาเศรษฐกิงพอเพียงเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยเมื่อครั้งที่ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. 2540 แต่การจะเข้าใจให้ลึกซึ้ง เข้าถึงอย่างถูกต้องนั้น แค่ได้ยินได้อ่าน
คงยังไม่เพียงพอจนกว่าจะได้คิดตามไปด้วย
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในระดับหนึ่ง
(จากนั้นคงต้องเป็นหน้าที่ผู้อ่านไปคิดต่อ)
ผู้เขียนควรจะต้องกล่าวถึงที่มาของแนวคิดนี้ ความหมายคำนิยาม
ตลอดจนการนำแนวคิดนี้ไปสู่การปฏิบัติ
ความเป็นมา
"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการ
ดำเนินชีวิตแกพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี
ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ
และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น
และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ความหมาย*
คำ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง "
ให้จำได้ง่ายที่สุด คือ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ปัจจัยสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของ 3 ห่วง คือ
1.ความพอประมาณ (Moderation) หมายถึง ความพอดี (dynamic optimum)
ไม่สุดโต่งจนเกินไป
ไม่สุดโต่งจนเกินไป
2.การมีเหตุมีผล (Reasonableness) หมายถึง
การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอประมาณโดยคาดผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ นั้น ( expected results) อย่างรอบคอบ
การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอประมาณโดยคาดผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ นั้น ( expected results) อย่างรอบคอบ
3.มีภูมิคุ้มกันที่ดี (Self-Immunity) เพื่อเตรียมตัวพร้อมรับผลกระทบที่คาดว่าจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นลักษณะของพัลวัตร ความพอเพียง (
systematic and dynamic optimum) จึงต้องคำนึงถึงสิ่งที่เป็นไปได้ (
scenario) ในอนาคตภายใต้ข้อจำกัดของความรู้ที่มีอยู่ ( bounded rationality)
ส่วน 2 เงื่อนไขคือ
systematic and dynamic optimum) จึงต้องคำนึงถึงสิ่งที่เป็นไปได้ (
scenario) ในอนาคตภายใต้ข้อจำกัดของความรู้ที่มีอยู่ ( bounded rationality)
ส่วน 2 เงื่อนไขคือ
การมีความรู้ ( Set of knowledge)
คู่คุณธรรม (Ethical Qualifications)
หากมีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีคำว่าไปไม่รอด
ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญมากในการดำเนินชีวิต
เบื้องต้นคงต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป
เงื่อนไขแรก การมีความรู้นั้น
ประกอบไปด้วย รอบรู้ (Stock of all relevant knowledge)
คือมีความรู้คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเป็นพื้นฐานการคิดตัดสินใจ
รอบคอบ (Connectivity of all acquired knowledge ) คือนำความรู้มาพิจารณาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันก่อนนำไปประยุกต์ปฏิบัติ และระมัดระวัง (Utilization of knowledge at any poit of time with carefulness and attentiveness)
คือ มีสติในการปฏิบัติเพราะในความเป็นจริง
สถานการณ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เงื่อนไขที่สอง คุณธรรม ต้องเสริมสร้างใน 2
ด้าน ได้แก่ ด้านจิตใจ คือ ซื่อสัตย์ สุจริต และด้านการกระทำ คือ ขยัน อดทน แบ่งปัน
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความพัฒนาอย่างรอบด้าน คือ ชีวิต เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปอย่าง สมดุล มั่นคง และยั่งยืน
ความไม่เข้าใจ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า
"…เศรษฐกิจพอเพียง ได้พูดหลายต่อหลายครั้ง อธิบายแล้วอธิบายอีก 3 ปีกว่าจะเข้าใจ
… … ไม่ใช่ดูถูกท่านว่าท่านไม่เข้าใจ… …
แต่เข้าใจผิดมันต่างกัน
ไม่เข้าใจกับเข้าใจผิด ไม่เข้าใจไม่เป็นไร
เพราะถ้าไม่เข้าใจก็จะปฏิบัติไม่ได้ เมื่อไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติก็ดีไป
แต่ถ้าเข้าใจผิดและไปปฏิบัติแล้ว
บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นอัจริยะอันนี้เสียหาย เสียหายต่อส่วนรวมและเสียหายต่อพระเจ้าอยู่หัว
"
เนื่องจาก
รัฐบาลปัจจุบันน้อมรับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวนโยบายในการบริหาร
ประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง
เพื่อขับเคลื่อนในเกิดการปฏิบัติอย่างได้ผล แต่ที่เห็นและเป็นอยู่นั้น
พบว่า มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกัน ทั้งในระดับประเทศ
ระดับผู้บริหารและระดับชุมชน
ความไม่เข้าใจในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
เป็นประเด็นสำคัญระดับชาติในทันทีที่มีการแต่งตั้ง
คณะกรรมการประงานงานและกระชับความสำพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เมื่อวันแห่งความรัก (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550) ที่ผ่านมา
ทั้งนี้เพื่อให้การสร้างความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจกับนานาประเทศดำเนิน
การได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวนโยบายเศรษฐกิจไทย
ซึ่งยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อประเทศ
ตีความได้ว่า
ต่างประเทศเองก็ยังสับสนกับท่าทีของประเทศไทยเรา
แม้กระทั่งในประเทศเราเองก็ยังสับสนว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด
หากพิจารณาความหมายของ ปรัชญาเศราฐกิจพอเพียงอย่างละเอียดจะพบว่า
การพอเพียง ไม่ใช่การพึ่งตนเอง 100%
หรือ Sufficiency Economy
ไม่ใช่ Self-Sufficiency
เพราะนั่นเท่ากับว่า เกินพอดี
ที่สำคัญอย่าคิดว่าเมืองไทยอยู่คนเดียวได้ ในเมื่อเศรษฐกิจของเราเป็นแบบ
ทุนนิยม ก็คงไม่สามารถจะต้านกระแสโลกาภิวัตน์ได้ จึงต้องรู้อย่างเท่าทัน
นอกจากนี้ การเข้าใจว่า
"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเรื่องของคนที่ยากจน
คนที่เกิดวิกฤตในชีวิต ซึ่งเป็นการตีความที่ผิด นำไปสู่ภาพลักษณ์ว่า
ใครที่ใช้หลักคิดนี้ คือคนที่มีปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
บรรดาผู้มีเงิน หรือเศรษฐีทั้งหลายก็ยิ่งไกลห่างออกจากแนวคิด
ความจริง
แล้ว แนวคิดนี้ เหมาะกับประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ภาคส่วนใดของสังคม
กระทั่ง ภาคธุรกิจ ยิ่งสามารถนำไปใช้ได้อย่างดี
เพราะปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่ากมากและรวดเร็ว การลงทุนใดๆ
จึงควรมีความใช้หลักความมีเหตุผล และความรู้ ตลอดจนมีภูมิคุ้มกัน
เพื่อป้องกันเหตุการณ์อันคาดไม่ถึง
สำหรับผู้ที่รายได้สูงอยู่แล้ว
ก็ไม่รอให้ประสบวิกฤตในชีวิต โดยควรยึดหลักนี้ เพื่อการ "
ป้องกัน" มากกว่าที่จะ "แก้ไข"
ยามที่สายเกินไป ย่อมดีกว่ารอให้เกิดความเสียหายก่อน
ในทางปฏิบัติ ก็คงไม่ต้องถึงกับ
" เลิก" บริโภคสินค้าราคาแพงตามรสนิยม( แต่ถ้าทำได้ก็ดีอย่างยิ่ง) แค่เพียงค่อยๆ
" ลด" อย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่เปลี่ยนแปลงแบบกลับหลัง
180 องศาเท่านี้ก็ถือว่าได้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว
ความส่งท้าย
คำว่า พอเพียง เป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายตายตัว ด้วยความที่มีลักษณะเป็นพลวัตร จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
คนๆเดียวกัน เมื่อเวลาเปลี่ยนไป
เส้นแห่งความพอเพียงก็อาจเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่าว่าแต่ต่างคนต่างจิตต่างใจ ดังนั้น ความพอเพียงของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และไม่มีเส้นแบ่งที่แน่นอน
แต่หากทุกครั้งที่จะกระทำการใดๆ ได้ระลึกถึง หลัก " 3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ก็เท่ากับว่า
ได้น้อมรับเอาแนวคิดของพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางของชีวิตแล้ว
คู่คุณธรรม (Ethical Qualifications)
หากมีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีคำว่าไปไม่รอด
ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญมากในการดำเนินชีวิต
เบื้องต้นคงต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป
เงื่อนไขแรก การมีความรู้นั้น
ประกอบไปด้วย รอบรู้ (Stock of all relevant knowledge)
คือมีความรู้คลอบคลุมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเป็นพื้นฐานการคิดตัดสินใจ
รอบคอบ (Connectivity of all acquired knowledge ) คือนำความรู้มาพิจารณาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันก่อนนำไปประยุกต์ปฏิบัติ และระมัดระวัง (Utilization of knowledge at any poit of time with carefulness and attentiveness)
คือ มีสติในการปฏิบัติเพราะในความเป็นจริง
สถานการณ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เงื่อนไขที่สอง คุณธรรม ต้องเสริมสร้างใน 2
ด้าน ได้แก่ ด้านจิตใจ คือ ซื่อสัตย์ สุจริต และด้านการกระทำ คือ ขยัน อดทน แบ่งปัน
ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความพัฒนาอย่างรอบด้าน คือ ชีวิต เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปอย่าง สมดุล มั่นคง และยั่งยืน
ความไม่เข้าใจ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า
"…เศรษฐกิจพอเพียง ได้พูดหลายต่อหลายครั้ง อธิบายแล้วอธิบายอีก 3 ปีกว่าจะเข้าใจ
… … ไม่ใช่ดูถูกท่านว่าท่านไม่เข้าใจ… …
แต่เข้าใจผิดมันต่างกัน
ไม่เข้าใจกับเข้าใจผิด ไม่เข้าใจไม่เป็นไร
เพราะถ้าไม่เข้าใจก็จะปฏิบัติไม่ได้ เมื่อไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติก็ดีไป
แต่ถ้าเข้าใจผิดและไปปฏิบัติแล้ว
บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นอัจริยะอันนี้เสียหาย เสียหายต่อส่วนรวมและเสียหายต่อพระเจ้าอยู่หัว
"
เนื่องจาก
รัฐบาลปัจจุบันน้อมรับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวนโยบายในการบริหาร
ประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง
เพื่อขับเคลื่อนในเกิดการปฏิบัติอย่างได้ผล แต่ที่เห็นและเป็นอยู่นั้น
พบว่า มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกัน ทั้งในระดับประเทศ
ระดับผู้บริหารและระดับชุมชน
ความไม่เข้าใจในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
เป็นประเด็นสำคัญระดับชาติในทันทีที่มีการแต่งตั้ง
คณะกรรมการประงานงานและกระชับความสำพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เมื่อวันแห่งความรัก (วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550) ที่ผ่านมา
ทั้งนี้เพื่อให้การสร้างความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจกับนานาประเทศดำเนิน
การได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวนโยบายเศรษฐกิจไทย
ซึ่งยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อประเทศ
ตีความได้ว่า
ต่างประเทศเองก็ยังสับสนกับท่าทีของประเทศไทยเรา
แม้กระทั่งในประเทศเราเองก็ยังสับสนว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด
หากพิจารณาความหมายของ ปรัชญาเศราฐกิจพอเพียงอย่างละเอียดจะพบว่า
การพอเพียง ไม่ใช่การพึ่งตนเอง 100%
หรือ Sufficiency Economy
ไม่ใช่ Self-Sufficiency
เพราะนั่นเท่ากับว่า เกินพอดี
ที่สำคัญอย่าคิดว่าเมืองไทยอยู่คนเดียวได้ ในเมื่อเศรษฐกิจของเราเป็นแบบ
ทุนนิยม ก็คงไม่สามารถจะต้านกระแสโลกาภิวัตน์ได้ จึงต้องรู้อย่างเท่าทัน
นอกจากนี้ การเข้าใจว่า
"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเรื่องของคนที่ยากจน
คนที่เกิดวิกฤตในชีวิต ซึ่งเป็นการตีความที่ผิด นำไปสู่ภาพลักษณ์ว่า
ใครที่ใช้หลักคิดนี้ คือคนที่มีปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
บรรดาผู้มีเงิน หรือเศรษฐีทั้งหลายก็ยิ่งไกลห่างออกจากแนวคิด
ความจริง
แล้ว แนวคิดนี้ เหมาะกับประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ภาคส่วนใดของสังคม
กระทั่ง ภาคธุรกิจ ยิ่งสามารถนำไปใช้ได้อย่างดี
เพราะปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่ากมากและรวดเร็ว การลงทุนใดๆ
จึงควรมีความใช้หลักความมีเหตุผล และความรู้ ตลอดจนมีภูมิคุ้มกัน
เพื่อป้องกันเหตุการณ์อันคาดไม่ถึง
สำหรับผู้ที่รายได้สูงอยู่แล้ว
ก็ไม่รอให้ประสบวิกฤตในชีวิต โดยควรยึดหลักนี้ เพื่อการ "
ป้องกัน" มากกว่าที่จะ "แก้ไข"
ยามที่สายเกินไป ย่อมดีกว่ารอให้เกิดความเสียหายก่อน
ในทางปฏิบัติ ก็คงไม่ต้องถึงกับ
" เลิก" บริโภคสินค้าราคาแพงตามรสนิยม( แต่ถ้าทำได้ก็ดีอย่างยิ่ง) แค่เพียงค่อยๆ
" ลด" อย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่เปลี่ยนแปลงแบบกลับหลัง
180 องศาเท่านี้ก็ถือว่าได้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว
ความส่งท้าย
คำว่า พอเพียง เป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายตายตัว ด้วยความที่มีลักษณะเป็นพลวัตร จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
คนๆเดียวกัน เมื่อเวลาเปลี่ยนไป
เส้นแห่งความพอเพียงก็อาจเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่าว่าแต่ต่างคนต่างจิตต่างใจ ดังนั้น ความพอเพียงของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และไม่มีเส้นแบ่งที่แน่นอน
แต่หากทุกครั้งที่จะกระทำการใดๆ ได้ระลึกถึง หลัก " 3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ก็เท่ากับว่า
ได้น้อมรับเอาแนวคิดของพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางของชีวิตแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น