การศึกษาแบบนีโอฮิวแมนนิส(Neo - Humanist Education)


โดย :  รศ. ดร. เกียรติวรรณ อมาตยกุล ภาควิชาการศึกษานอกโรงเรียน
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ความเป็นมา
        จุดเริ่มของแนวคิดนี้มาจากโยคีชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ พี . อาร์ ซาร์การ์ ( P.R. Sarkar)ที่นำศาสตร์ทางตะวันออกกับ
ความทันสมัยแบบตะวันตกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เช่น มีการให้เด็กๆฝึกสมาธิ ทำโยคะขณะเดียวกันก็ใช้เสียงเพลงและ
วิธีการสอนใหม่ๆรวมเข้าไปด้วยโดยให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนในเด็กเล็กว่า

        กิ่งไผ่อ่อนสามารถจะถูกดัดหรือปรับให้อยู่ในรูปแบบใดก็ได้ ส่วนกิ่งไผ่แก่จะต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ในการจัด
หรือปรับให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งก็อาจหักหรือเสียหายได้โดยง่าย นี่คือเหตุผลสำคัญที่เราควรให้ความสนใจการศึกษา
ระดับอนุบาลยิ่งกว่าการศึกษาระดับใดๆทั้งสิ้นหลักการ

        สิ่งแวดล้อมและการศึกษาในวัยต้นๆของชีวิต มีอิทธิผลเป็นอย่างยิ่งต่อความเฉลียวฉลาด คุณธรรมและความสุขของ
คนเรา โดยเชื่อว่า ความก่ง ความฉลาด ซึ่งเป็นศักยภาพที่มีอยูาในตัวมนุษย์ แต่มนุษย์ดึงศักยภาพดังกล่าวออกมาใช้แค่
5-+10 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ทั้งๆที่มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพตัวเองได้สูงสุดมากกว่านี้ และเชื่อว่าความเป็นคนสมบูรณ์
นั้นเกิดจากศักยภาพที่สำคัญ 4 ด้าน คือ

1. ร่างกาย(Physical) จะต้องแข็งแรง
2. จิตใจ(Mental) ถ้ารูปร่างดีแข็งแรง แต่จิตใจไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัดสินจด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่มี
ความเป็นตัวของตัวเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ก็ไม่มีประโยชน์
3. ความน้ำใจ(Spirtitual) มีความรักให้กับคนอื่นในวงกว้าง ช่วยเลหือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน มี
ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ มีใจที่เปิดกว้าง
4. วิชาการ(Academic) ถ้าเราไม่มีวิชาการ ไม่มีความรู้ ก็ไม่มีทางที่เราจะมีอะไรมาบำรุงตัวเอง
        ทั้งสี่ ด้านคือหลักการสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์ การศึกษาที่ดีจะต้องจัดให้ครบทั้งหมดนี้กระบวนการ

        เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายความเป็นคนที่สมบูรณ์ กิจกรรมที่ทำในโรงเรียนฮิมแมนนิส จะต้องสอดคล้องกับหลัก 4 ข้อ คือ
คลื่นสมองต่ำ การประสานของเซลล์สมอง ภาพพจน์ต่อตัวเอง และการให้ความรัก ซึ่งต้องไปด้วยกัน เด็กจึงจะไปในทิศทางที่ดี

1. คลื่นสมองต่ำ
        นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์เครื่องมือวัดคลื่นสมอง ซึ่งสามารถพบว่าประสิทธิภาพการทำงานของคนเราจะแปรเปลี่ยน
ไปตามคลื่นสมองที่เราส่ง ยิ่งต่ำลงมากเท่าไรจะยิ่งมีประสิทธิภพาดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราจะมีความสงบทางจิตใจ อารมณ์
ดี ใจเย็น มีความคิดสร้างสรรค์สูง เกิดสมาธิ จิตใจเป็นหนึ่งเดียว ไม่ฟุ้งซ่านไม่วอกแวก กิจกรรมจึงต้องสร้างให้เด็กเกิดภาวะ
คลื่นสมองต่ำมากที่สุด เช่น ก่อนเข้าห้องเรียน เด็กๆได้ฝึกทำโยคะ นั่งสมาธิ อันถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เขาเรียน
หนังสือได้อย่างสบายใจ และมีความสุขในการรับรู้ โยคะและสมาธิ จะช่วยกล้ามเนื้อและประสาทผ่อนคลายขณะเด็กทำโยคะ
จิตใจเขาจะเป็นหนึ่งเดียว เรื่องอะไรที่ วุ่นวายจะค่อยสงบลงๆ การเล่านิทาน การกอด เสียงเพลง และท่าที คำพูดจากคน
รอบข้าง ก็มีส่วนทำให้คลื่นสมองต่ำได้เช่นเดียวกัน ถ้าเด็กอยู่ใกล้คนคลื่นสมองต่ำ เขาก็จะต่ำด้วย แต่ถ้าใกล้คนที่คลื่น
สมองสูง อารมณ์เขาก็จะพลอยรุนแรงสูงตามไปด้วย ดังนั้น บทบาทของครูจึงเป็นเรื่องสำคัญครูต้องอารมณ์เย็น ยิ้มแย้ม
แจ่มใส พูดจาไพเราะพูดให้กำลังใจ และไม่พูดในแง่ลบ

        อาหารการกินก็มีส่วนต่อคลื่นสมองของคนเราด้วยเช่นกันยิ่งถ้าเป็นอาหารธรรมชาติมากเท่าไหร่ จะยิ่งส่งผลดีมากเท่านั้น
อาหารที่โรงเรียนจึงเป็นแบบกึ่งมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่นหมู เนื้อ แต่กินเนื้อสัตว์เล็กตั้งแต่ไก่ลงมา เน้น ผัก พลไม้ นมและ
ดื่มน้ำมากๆ

2. การประสานของเซลล์สมอง
         เราเคยเชื่อว่าความฉลาดมาจากพันธุกรรม พ่อเก่ง แม่เก่ง ลูกจะออกมาเก่ง แต่แนวคิดนีโอฮิมแมนนิสมีความแตกต่าง
ออกไปจากนั้น โดยเชื่อว่าความฉลาดสามารถฝึกฝนกันได้ ไม่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม แต่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ว่าได้มีส่วน
ช่วยทำให้เซลล์สมองประสานกันมากน้อยแค่ไหน การที่คนไหนจะฉลาดหรือไม่ฉลาด เกิดจากเซลล์สมองประสานเข้าด้วยกัน
หรือที่เรียกว่าเซลล์ประสานประสาท ถ้าใครมีมากๆคนนั้นจะฉลาด เรียนรู้เรื่องต่างๆได้เร็ว อย่างเรามีเพื่อน ทำไมบางคน
อ่านหนังสือสิบนาทีจำได้หมด แล้วเรากลับจำไม่ได้ มีการค้นพบว่าเซลล์ประสานประสาทจะขยายตัวได้ดี เมื่อมือกับเท้า
ของเราทำงานมากเพราะปลายประสาทจะอยู่ตรงส่วนนั้นมาก ฉะนั้น ในแนวคิดนี้จึงให้เด็กเรียนๆเล่นๆเรียนก็จริง แต่
ต้องได้เคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นกิจกรรมจึงมุ่งให้เด็กได้ออกนอกห้อง ได้ปีนป่าย ได้วิ่งเล่น เพื่อให้มือกับเท้าทำงานมากที่สุด

        นิโอฮิวแมนนิสจะไม่เชื่อเรื่องให้เด็กเรียนอย่างเดียว หรือเล่นอย่างเดียว เพราะในช่วง 3-6 ปี จะเป็นช่วงที่สมองของคน
เราเจริญเติบโตมากที่สุด ถ้าไม่ให้เรียนเสียเลย แล้วมาเรียนตอน 7-8 ขวบ จะยิ่งช้าไป ดังนั้นจึงต้องเรียนบ้าง โดยกระจาย
ให้เหมาะสม และใช้วิธีการที่จูงใจให้เด็กเรียนรู้ด้วยคลื่นอัลฟาหรือคลื่นสมองต่ำมากที่สุด

        ส่วนวิธีการสอนแม้เป็นนามธรรม แต่ก็มีวิธีจูงใจอย่างมีระบบจากรูปธรรมง่ายๆไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรมยากๆแล้วจึงค่อย
ไปสู่นามธรรมโดยที่เด็กแทบจะไม่รู้ตัเลย เช่นแทนที่เด็ฏจะต้องท่องตัวอักษรต่างๆเขาก็จะรู้จักเจ้าตัวพวกนั้นผ่านเกม โดยวิ่งไป
ตามพื้นห้องให้เป็นรูปตัวอักษรทำตัวเองเป็นรูปนั้น หรือเล่นเกมบัตรคำสนุกๆและแทนที่จะต้องหลับหูหลับตาท่องตัวเลขมาก
มายอย่างไร้ความหมาย พวกเขาเขาจะได้เรียนรู้การใช้จากของจริง เช่น นับตัวเลขจากลูกปัดหอย หรือผลไม้ ถ้าหากจะเรียน
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ครูก็จะพาพวกเขาไปสัมผัสกับประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน อาจพาไปดูปลาในบ่อ พาไปรู้จัก
สัญญาณไปจราจรริมถนน เป็นต้น

3. ภาพพจน์ของตัวเอง (Self Concept)
        ความรู้สึกที่คนเรามีต่อตัวเรา ตามหลักจิตวิทยาสมัยใหม่พบว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเราจะส่งไปถึงความรู้สึกที่เรามีต่อ
คนอื่นด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง เราก็จะไม่เชื่อมั่นคนอื่น ความรู้สึกที่มาจากตัวเรามันมาจากประสาทสัมผัสทั้งห้า
ที่เป็นตัวบันทึก โดยเฉพาะทางตากับทางหู เป็นเรื่องจิตใต้สำนึก ซึ่งวัยเด็กเป็นวัยที่รับรู้สูงที่สุด ถ้าจิตใต้สำนึกบันทึกไว้แต่เรื่อง
ด้านลบได้ยินคนรอบข้างพูดเรื่อยๆว่าไม่เก่ง ซน เด็กเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นคนที่ไม่เก่ง ซน ซุ่มซ่าม เมื่อภาพพจน์ที่มีต่อตัวเอง
เป็นลบพฤติกรรมที่ออกมาก็จะเป็นลบด้วย

        ดังนั้นบทบาทของครูจึงเป็นเรื่องสำคัญ(กรณีเดียวกับเรื่องคลื่นสมองต่ำ) เชื่อว่าพฤติกรรมของครูคือบทเรียนที่ดีที่สุดของ
เด็ก เช่น ถ้าครูไม่กินผัก เด็กก็จะไม่กินผัก ถ้าครูพูดจาไพเราะ เด็กก็จะพูดจาไพเราะ แนวคิดนี้ไม่เชื่อว่าทำอย่างที่ครูสอนแต่อย่า
ทำอย่างที่ครูทำดังนั้นคนเป็นครูที่ดีจึงต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งพฤติกรรมส่วนตัว และเทคนิคการสนอด้วย เด็กจึงจะเป็นคนที่
สมบูรณ์แบบ

4. การให้ความรัก
        เปรียบเสมือนกับแก้วน้ำ ถ้าความรักของเด็กคนนั้นเต็ม มันย่อมไหลเผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่น ตรงกันข้ามถ้าความรักของเขามี
เพียงค่อนแก้ว เขาย่อมเรียกร้องต้องการการแสดงออกซึ่งความรักแก่เด็กที่จะทำให้เขาได้รับความรักล้นเต็ม

วิธีที่จะได้ความรัก
1. รอยยิ้ม ตามหลักจิตวิทยา การยิ้มคือการยอมรับในความเป็นมนุษย์
2. คำชม การนำเอาข้อดีมาพูด
3. การสัมผัส ในเด็กวัย 3-6 ขวบ ต้องการสิ่งนี้มาก นักจิตวิทยาบอกว่าคนเราต้องการสัมผัสอย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง
เพื่อการมีชีวิตรอด 8 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างปกติ และ 14 ครั้งเพื่อการมีชีวิตอย่างมีความสุข ถ้าไม่ได้รับเลยเขา
จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิด ดังนั้นในโรงเรียนนีโอฮิวแมนนิส ครูจึงกอดเด็กหลังเช็กชื่อในตอนเข้าเสมอ
4. สวัสดี เป็นหลักของโยคะทางตะวันออก ท่านมัสการ จะมีความหมายลึกๆยกขึ้นข้างบนแปลว่า สวัสดีความดีงาม
ในตัวท่าน ยกระดับอกแปลว่า สวัสดีความดีงามในตัวเรา โรงเรียนนีโอฮวแมนนิส จึงปลูกฝังในเรื่องเหล่านี้ การยกมือ
ไหว้สวัสดี การขอบคุณ การขอโทษ เด็กสวัสดีครู ครูสวัสดีตอบ มัทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
5. การสบตา สบความรู้สึกดีๆซึ่งกันและกัน เด็กที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง จะสบตากับคนอื่นได้อย่างมั่นอกมั่นใจ
บรรณานุกรม
เกียรติวรรณ อมาตกุล. สอนให้เด็กเป็นอัจฉริยะตามแนวนีโอฮิวแมนนิส,กรุงเทพฯ:บริษทที.พี.พริ้นท์ จำกัด,2540
เกียรติวรรณ อมาตกุล. เรียนๆเล่นๆที่อนุบาลอมาตยกุล,กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่นจำกัดภาพพิมพ์,2535.
ปวีณา "โรงเรียนแบบนีโอฮิวแมนนิส" กรุงเทพฯ: นิตยสารรักลูก ฉบับมีนาคม 2540 บริษทแปลน พับลิชชิ่ง จำกัด,2540.
Avadhutka Anandmitra Acarya.Neo-humanist Education.Quezon City:Ananada Marga Publications,1986.


เอื้อเฟื้อภาพประกอบโดย >>  myhug

Ref:
http://www.childthai.org

*** อ่านแนวคิดฯ อื่นๆอีกบ้าง >>  แนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในโรงเรียน


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม